Paspalum atratum
cv. Ubon
หญ้าพาสพาลัมอุบล (Ubon paspalum/พาสพาลั่มอะตราตั้ม) เป็นหญ้าอายุหลายปี ทรงพุ่มขนาดใหญ่ ลำต้นตั้งตรง ใบดก มีการเจริญเติบโตแบบแตกกอ เหมาะสำหรับปลูกในพื้นที่ลุ่มน้ำท่วมขัง ดินมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำและมีความเป็นกรด ทนต่อการแทะเล็มได้ดี และทำหญ้าหมักคุณภาพดี ควรปลูกช่วงต้นฤดูฝน โดยการหว่านเมล็ดในอัตรา 2 กก./ไร่
ลักษณะและความสำคัญ
หญ้าพาสพาลัมอุบล (Paspalum atratum cv. Ubon) มีลักษณะทรงพุ่มขนาดใหญ่ ใบดก ลำต้นตั้งตรงสูงประมาณ 1 เมตร มีการเจริญเติบโตแบบแตกกอ เมล็ดมีสีน้ำตาลแดง ผิวเป็นมัน หญ้าพาสพาลัมอุบลเหมาะสำหรับพื้นที่ลุ่ม ดินมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ และมีความเป็นกรด เป็นหญ้าที่ทนทานต่อน้ำท่วมขังและยังคงเขียวสดได้ในฤดูแล้ง มีคุณภาพดีและผลผลิตสูง กล่าวคือมีโปรตีนหยาบสูงเฉลี่ย 7-8% ให้ผลผลิตน้ำหนักแห้ง 3-4 ตัน/ไร่/ปี เหมาะสำหรับการปลูกเพื่อตัดไปเลี้ยงสัตว์หรือปล่อยสัตว์แทะเล็ม ตลอดจนการนำไปทำหญ้าหมักและหญ้าแห้ง
เทคนิคการปลูกและการดูแลหญ้า
การเตรียมพื้นที่ปลูก
ควรเลือกพื้นที่ปลูกลักษณะเป็นที่ลุ่ม มีดินร่วนปนทราย ไม่ควรเป็นดินทรายจัด มีความชื้นที่พอเหมาะ ไม่มีร่มเงามากเพื่อให้หญ้าได้รับแสงเต็มที่ ควรเตรียมดินและกำจัดวัชพืชอย่างดีโดยไถเตรียมดิน 2-3 ครั้งในฤดูแล้ง และไถพรวนดินอีกครั้งก่อนปลูก เพื่อทำลายต้นกล้าวัชพืชที่ขึ้นใหม่ พร้อมทั้งย่อยดินให้ละเอียดร่วนซุย
การปลูก
ไถเตรียมดินตากดินไว้ประมาณ 5-7 วัน อาจใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน จากนั้นก็ไถพรวนดินให้ละเอียด เมื่อดินมีความชื้นที่เหมาะสมหว่านเมล็ดพันธุ์ในอัตรา 2 กิโลกรัม/ไร่ โดยหว่านเมล็ดให้กระจายสม่ำเสมอทั่วแปลง ส่วนการปลูกด้วยการเพาะกล้าจะใช้เมล็ดพันธุ์ 1 กิโลกรัม หว่านเมล็ดตามขนาดแปลง ใช้คราดเกลี่ยดินกลบ รดน้ำให้ชุ่ม เมล็ดจะงอกในช่วง 7-14 วัน เมื่อต้นกล้าสูงประมาณ 20-30 เซนติเมตรหรือมีอายุประมาณ 30 วัน จึงย้ายไปปลูกในแปลงที่มีการเตรียมดินแล้วซึ่งสามารถใช้ปลูกได้ในพื้นที่ 2-3 ไร่
ช่วงเวลาที่เหมาะสมต่อการปลูก
ควรเริ่มเตรียมดินตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน และหว่านเมล็ดได้ตั้งแต่ต้นเดือน พฤษภาคม-กรกฎาคม ซึ่งเป็นช่วงฤดูฝนดินจะมีความชื้นสูงเหมาะสมต่อการงอกของเมล็ด
การจัดการดูแลรักษา
- การใส่ปุ๋ย: ก่อนปลูกควรใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ในอัตรา 50 กิโลกรัม/ไร่ เป็นปุ๋ยรองพื้น หลังจากหว่านเมล็ดสองสัปดาห์หรือภายหลังจากต้นกล้าตั้งตัวได้แล้ว ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 46-0-0 อัตรา 10-20 กิโลกรัม/ไร่ และควรใส่ปุ๋ยหลังการตัดทุกครั้ง อาจเป็นปุ๋ยเคมีหรือปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยอินทรีย์เพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดินด้วย
- การให้น้ำ: ในช่วงฤดูแล้ง ควรมีการรดน้ำอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ต้นหญ้ามีความสมบูรณ์ และควรตัดหญ้าทุก 45-60 วัน เพราะช่วงนี้หญ้าจะเจริญเติบโตช้าหากขาดน้ำ ส่วนในฤดูฝนดินมีความชื้นเพียงพอจึงไม่จำเป็นต้องรดน้ำต้นหญ้า
- โรคและแมลง: ปัจจุบันยังไม่พบปัญหาเกี่ยวกับโรคและแมลงที่ส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของหญ้าชนิดนี้มากนัก
- การตัด: หลังจากปลูกหญ้าพาส-พาลัมอุบล ควรตัดครั้งแรกเมื่อหญ้าอายุประมาณ 60 วัน หลังจากนั้นในฤดูฝนสามารถตัดได้ทุก 30-45 วัน ส่วนในฤดูแล้งควรตัดทุก 45-60 วัน เนื่องจากหญ้าจะเจริญเติบโตช้า
- การกำจัดวัชพืชและบำรุงดิน: ควรกำจัดวัชพืชตั้งแต่การเตรียมดินโดยการไถและตากดินอย่างน้อย 7 วัน เพื่อให้วัชพืชตายก่อน จากนั้นไถพรวนเพื่อกำจัดต้นกล้าวัชพืชให้ละเอียดอีกครั้ง หลังจากปลูกหญ้าในช่วง 3-4 สัปดาห์หากมีวัชพืชให้กำจัดครั้งหนึ่งก่อน เมื่อหญ้าขึ้นคลุมดินแล้ววัชพืชอื่นจะขึ้นได้ยากจึงไม่จำเป็นต้องกำจัดวัชพืชอีก
การจัดการเพื่อเป็นอาหารสัตว์
ในปีแรก หญ้าพาสพาลัมอุบลสามารถตัดหรือปล่อยสัตว์แทะเล็มครั้งแรกได้เมื่อหญ้ามีอายุประมาณ 60 วัน เพื่อให้หญ้ามีระบบรากและต้นที่แข็งแรงก่อน จากนั้น ตัดครั้งต่อไปเฉลี่ยทุกๆ 30-45 วัน หรือเมื่อหญ้ามีความสูงประมาณ 60-70 เซนติเมตร ซึ่งในช่วงนี้หญ้าจะมีคุณภาพทางโภชนะสำหรับสัตว์อยู่ในเกณฑ์ดี
ควรตัดหรือปล่อยสัตว์เข้าแทะเล็มแบบหมุนเวียนสลับกันไป และควรตัดหญ้าให้มีความสูงเหนือระดับพื้น 5-10 เซนติเมตร หลังจากนั้น พักแปลงเพื่อให้หญ้าได้เจริญเติบโตต่อไป
หญ้าพาสพาลัมอุบลสามารถใช้เลี้ยงสัตว์เกือบทุกชนิดที่กินหญ้าเป็นพืชอาหารหลัก เช่น ใช้เลี้ยงโค กระบือ หรือแพะ เป็นต้น สามารถให้ในรูปของหญ้าสด หญ้าแห้ง หรือหญ้าหมักก็ได้
การจัดการหลังการตัดและแทะเล็ม
หลังจากการตัดหรือปล่อยสัตว์แทะเล็มหญ้าจำเป็นต้องใส่ปุ๋ยทุกครั้ง ปุ๋ยที่แนะนำคือ ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือปุ๋ยยูเรีย (46-0-0) ในอัตรา 25-50 กิโลกรัม/ไร่ โดยอาจใส่สลับกันก็ได้ สำหรับปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยอินทรีย์อื่นๆสามารถใส่ได้ตามความต้องการ ในช่วงฤดูแล้งควรรดน้ำอย่างสม่ำเสมอเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับดินและต้นหญ้า
การเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์
เมื่อซื้อเมล็ดพันธุ์แล้วควรปลูกในปีนั้น แต่หากต้องการเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ในอุณหภูมิห้อง ควรเป็นที่แห้งและสูงจากพื้นดิน อยู่ในที่ร่มอากาศถ่ายเทสะดวก แต่ไม่ควรเก็บเมล็ดนานเกินกว่า 2 ปี เนื่องความงอกของเมล็ดจะลดลงอย่างรวดเร็วหากเก็บนานกว่านั้นเมล็ดอาจไม่มีความงอกเลย